วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
โดเมน และ เรนจ์

Say Hii i . ..
วันนี้มาดูเรื่อง >>> โดเมน และ เรนจ์ ดี กว่า
โดเมนของ r คือ เซตของสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับใน r เขียนแทนด้วย Dr
เรนจ์ของ r คือ เซตของสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับใน r เขียนแทนด้วย Rr
ตัวอย่าง
ให้ A = {-3,-2,-1,0,1,2,3} และกำหนดให้ความสัมพันธ์ r ใน A คือ {(x,y) y=x2}
ดังนั้น Dr = {-1,0,1}
จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการหาค่าโดเมน และเรนจ์ของความสัมพันธ์ที่เขียนอยู่ในรูปของเซตแบบแจกแจงสมาชิก
การหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ที่กำหนดในรูปของเซตแบบบอกเงื่อนไขที่ไม่สามารถแจกแจงสมาชิกของเซตได้หมดทุกตัว สามารถทำได้ 2 วิธีได้แก่
1. พิจารณาโดเมน และเรนจ์ จากกราฟของความสัมพันธ์
2. พิจารณาจากสมการของความสัมพันธ์
ซึ่งการใช้วิธีพิจารณาจากสมการความสัมพันธ์นั้น สามารถทำได้ดังนี้คือ
การหาโดเมน : เขียนความสัมพันธ์ โดยจัด y ในรูปของ x นั่นคือ y = f(x) แล้วพิจารณาค่าของ x ที่ทำให้ y เป็นจริงตามเงื่อนไขที่เซตกำหนด
การหาเรนจ์ : เขียนความสัมพันธ์ โดยจัด x ในรูปของ y นั่นคือ x = f(y) แล้วพิจารณาค่าของ y ที่ทำให้ x เป็นจริงตามเงื่อนไขเซตที่กำหนด
ไว้เจอกานใหม่ ๆ
วันนี้ไปละน้า Bye Bye . ..
^ ------------------- ^
ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
ความสัมพันธ์ (Relation)
ในชีวิตประจำวันและในคณิตศาสตร์จะพบข้อความทึ่มีลักษณะต่อไปนี้เสมอ เช่น
นิดเป็นพี่สาวของแดง
กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงในประเทศไทย
5 มากกว่า 3 เป็นต้น
ข้อความเหล่านี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างของสองสิ่ง ดังนั้น ความสัมพันธ์จึงเกิดจากของสองสิ่งมาเกี่ยวข้องกันภายในกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งและของทั้งสองสิ่งนั้นจะเขียนในรูปคู่อันดับ (ordered Pairs) ได้เสมอ
คู่อันดับ (Ordered Pairs)
คู่อันดับนั้น เกิดขึ้นจากการเรียงลำดังกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง ประกอบด้วยสมาชิก 2 ตัว นั่นคือ สมาชิกตัวหน้า และสมาชิกตัวหลัง ในทางคณิตศาสตร์ คู่อันดับนั้นจะนิยมเขียนในรูปของสัญลักษณ์ โดยกำหนดให้ เป็นสมาชิกตัวหน้า และ เป็นสมาชิกตัวหลัง และตกลงว่าคู่อันดับ (a, b) นั้น จะเท่ากับคู่อันดับ (x, y) ก็ต่อเมื่อ a = x และ b = y
สมบัติของคู่อันดับ
1. (a, b) ≠ (b,a) ยกเว้น a = b
2. (a, b) = (c,d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d
3. (a, b) ≠ (c,d) ก็ต่อเมื่อ a ≠ c และ b ≠ d
ผลคูณคาร์ทีเซียน
นิยาม 1
ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A แลเซต B คือเซตของคู่อันดับ (x,y) ทั้งหมด โดยที่ x เป็นสมาชิกของเซต A และ B เป็นสมาชิกของเซต B โดยวิธีการกำหนดเงื่อนไขของสมาชิกได้ดังนี้ A×B = {(x,y) x € A และ y € B }
ตัวอย่าง
A= {1,3,5} B = {a,b}
A×B ={(1,a),(1,b),(3,a),(3,b),(5,a),(5,b),}
B×A ={(a,1),(a,3),(a,5),(b,1),(b,3),(b,5),}
A×A = {(1,1),(1,3),(1,5),(3,1),(3,3),(3,5),(5,1),(5,3),(5,5)}
B×B = {(a,a),(a,b),(b,a),(b,b)}
ถ้าเซต A และเซต B เป็นเซตจำกัด A × B จะมีจำนวนสมาชิกเท่ากับจำนวนสมาชิกของ A คูณด้วยจำนวนสมาชิกของ B เช่นถ้าจำนวนสมาชิกของ A เป็น 2 จำนวนสมาชิกของ A × B เท่ากับ 3 × 2 = 6
จากที่กล่าวมาแล้วว่าผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และ เซต B คือ เซตของคู่อันดับทุกคู่อันดับที่สมาชิกตัวหน้ามาจากเซต A และสมาขิกตัวหลังมากจากเซต B ถ้าแทนความสัมพันธ์ด้วย r อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์เป็นสับเซตของผลคูณคาร์ทีเซียนระหว่างเซตสองเซต หรือ r เป็นสับเซตของ A x B และเรียก r ว่า ความสัมพันธ์จาก A ไป B ถ้า r เป็นสับเซตของ A × A เรียก r ว่าความสัมพันธ์ในเซต A จึงเห็นได้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์เป็นเซต เพราะบอกได้แน่นอนว่าคู่อันดับเป็นหรือไม่เป็นสมาชิกของเซต
ตัวอย่าง
ถ้า A = {2 , 3 , 4} B = {5 , 6 , 8 , 9}
ให้ r1 คือความสัมพันธ์ " หารลงตัว" จาก A ไป B จะได้ r1 = { (2,6) , (2,8) , (3,6) , (3,9) , (4,8) }
ให้ r2 คือความสัมพันธ์ "เป็นรากที่สอง" จาก A ไป B จะได้ r2 = { (3,9) }
ให้ r3 คือความสัมพันธ์ "มากกว่า" จาก A ไป B จะได้ r3= { }
วิธีการเขียนความสัมพันธ์
1. เขียนแบบแจกแจงสมาชิก
2. เขียนแบบแผนภาพจับคู่สมาชิก
3. เขียนแบบบอกเงื่อนไขสมาชิก
4. เขียนแบบกราฟ


